วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน


ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร?


ยาคุมฉุกเฉิน เป็นฮอร์โมนเช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดธรรมดา แต่มีขนาดยาสูงกว่า  กินเพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์หลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน  เช่น เกิดจากความผิดพลาดจากวิธีคุมกำเนิดที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการรั่วหรือฉีกขาดของถุงยางอนามัย หรือลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่2เม็ดขึ้นไป หรือใช้ในกรณีผู้หญิงถูกข่มขืน ซึ่งยาคุมฉุกเฉินจะป้องกันการตกไข่

ยาคุมฉุกเฉินต่างจากยาคุมธรรมดาอย่างไร


    ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนผสมเช่นเดียวกับยาคุมธรรมดา แต่มีปริมาณ ฮอร์โมนต่อเม็ดสูงกว่า
ต้องกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ภายใน เวลาที่กำหนดเท่านั้นจึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
     ยาคุมธรรมดามีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดน้อยกว่าซึ่งต้องกินวันละ 1 เม็ดทุกๆวัน

ประเภทยาคุมฉุกเฉิน
ในกลุ่มของยาเม็ดรับประทานมีหลายกลุ่ม   เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียว , ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน อย่างเดียว, ฮอร์โมนรวม และ ดานาซอล  แต่ที่นิยมและหาได้ง่ายมีเพียง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียวและฮอร์โมนรวมเท่านั้น  ในประเทศไทยปัจจุบัน มียาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินที่นิยม คือ โพสตินอร์ (Postinor®) และ มาดอนนา (Madonna®) ซึ่งขายเป็นแผง โดยมียาบรรจุไว้ 2 เม็ด



ประเภทยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
1.  ยาเม็ดโปรเจสตินอย่างเดียว
ประกอบด้วย Levonorgestrel มี 2 ขนาด คือ
     1. 1.5 mg รับประทานครั้งเดียว
      2. 0.75 mg รับประทาน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง และควรรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 

2.  ยาเม็ดฮอร์โมนรวม (Yuzpe regimen)
เป็นฮอร์โมนรวมระหว่าง estrogen และ progestin คือ ethinyl estradiol 0.1 mg รวมกับ Levonorgestrel 0.5 mg รับประทาน  2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมงและควรรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
**แต่มีผลข้างเคียงมากกว่าแบบแรก**



ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
ควรรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ตามด้วยยาเม็ดที่สองซึ่งจะให้ประสิทธิภาพใน การป้องกันการ ตั้งครรภ์ได้ 75 %
      แต่หากเริ่มยาภายใน 24ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ เพิ่มขึ้นเป็น   85 %
"ดังนั้น จึงควรรับประทานยา เม็ดแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด"

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน

     1. คลื่นไส้อาเจียน อาจแก้ได้โดยการรับประทานยาอาเจียน metoclopramide ในขนาด 10 mg ก่อนการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด 1 ชั่วโมง จะสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้     2. เลือดออกกะปริดกะปรอย การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอาจทำให้มีอาการเลือดออกกะปิดกะปรอยได้ แต่เลือดที่ออกมานั้นจะมีไม่มากและมักจะหยุดไปเอง     3. การเปลี่ยนแปลงของประจำเดือน การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอาจทำให้ประจำเดือนมาก่อนหรือหลังปกติประมาณ 1 สัปดาห์ ถ้าหากเลย 1 สัปดาห์ไปแล้วอาจมีการตั้งครรภ์ได้     4. อาการอื่นๆ เช่น ปวดท้อง คัดตึงเต้านม ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง


ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินไม่ควรกินร่วมกับยาใดบ้าง

มีการศึกษาพบว่า เมื่อทานยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินร่วมกับยารักษาวัณโรค(Antituberculosis) หรือ ยากันชัก (Anticonvulsant) หรือ ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) จะทำให้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดลดลงได้

ข้อควรระวัง

สำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคลมชัก, โรคหัวใจ, โลหิตแข็งตัว หรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นเลือดหัวใจอาจต้องปรึกษาแพทย์เสียก่อน
อาจใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งปลอดภัยกว่าชนิดฮอร์โมนรวม อย่างไรก็ตาม ประมาณ 20 ปีที่มีการผลิตยานี้ขึ้นมาใช้ ยังไม่พบว่ามีรายงานการเสียชีวิต หรืออาการแทรกซ้อนร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน

 ถ้ากินยาคุมฉุกเฉินแล้วแต่ยังตั้งครรภ์ เด็กในครรภ์จะพิการหรือไม่

การกินยาคุมฉุกเฉินในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ ไม่ได้กินบ่อย ๆ ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่ผู้หญิงกินยาโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ หรือกินยานี้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แต่ไม่ได้ผลก็ตาม เพราะมีการศึกษาพบว่าการกินยาคุมในขณะที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อความพิการของทารก ที่จะคลอดออกมา 

ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน


  • เข้าใจว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินสามารถคุมกำเนิดได้ในระยะยาว  
หากต้องการคุมกำเนิดระยะยาวควรใช้วิธีคุมกำเนิดแบบปกติซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่า  หากรับประทานยาคุมฉุกเฉินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจมีอาการข้างเคียงจากการรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เลือดออกกระปิดกระปรอย ทั้งนี้ยังรวมถึงการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย
  • ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาทำแท้ง 

 ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาทำแท้ง แต่ป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้นโดยยาจะป้องกันการฝังตัวของไข่ที่ผนังมดลูก  แต่ถ้าหากไข่ปฏิสนธิและฝังตัวที่ผนังมดลูกแล้ว ยาจะไม่มีผลใด ๆ ดังนั้น ยาคุมกำเนิดจึงไม่ใช่ยาทำแท้ง
  • ยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ยาคุมฉุกเฉินและยาคุมกำเนิดแบบปกติ  ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่วิธีที่สามารถป้องกันได้คือการใช้ถุงยางอนามั



อย่าลืมว่า!
ยาคุมฉุกเฉินช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์เท่านั้น 
ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใดๆ เลย 
สิ่งที่จะช่วยป้องกันการติดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือ
" ถุงยางอนามัย "
ซึ่
งการใช้ถุงยางเปรียบเสมือน

ใช้กระสุนนัดเดียว
ยิงนกได้สองตัว

เพราะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และป้องกันการติดโรคได้ในขณะเดียวกัน





แหล่งอ้างอิง

1. ผศ.ชบาไพร โพธิ์สุยะ. (2549). การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน. พิมพ์ครั้งแรก. เชียงใหม่: ห้างหุ้นส่วนจำกัด เชียงใหม่แสงศิลป์.
2. ภญ.พิชญา ดิลกพัฒนมงคล. (2554). ยาคุมฉุกเฉิน  เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้. วันที่ค้นข้อมูล 6 กรกฎาคม 2555,จาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เวปไซด์: http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=54
3. นพ.ชำนาญ  แท่นประเสริฐกุล. ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินใช้อย่างไรให้ถูกต้อง. วันที่ค้นข้อมูล 8 กรกฎาคม 2555,จาก Thaiclinic เวปไซด์: http://www.thaiclinic.com/medbible/emergencypill.html